ส่องกลยุทธ์รับมือตลาดผันผวน ที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์การลงทุน
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับความท้าทาย นักลงทุนหลายคนอาจกังวลกับการรักษามูลค่าพอร์ตหุ้นของตนเอง และคงอยากรู้ว่า ในเวลานี้ควรอยู่เฉย ๆ หรือแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนอะไรเพิ่มดี?
ก่อนอื่นเรามาดูสถานการณ์สินทรัพย์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ก่อน เพื่อจะได้วิเคราะห์และวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หุ้นโลก
ตลาดกำลังเผชิญกับความกังวลเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในอนาคตและราคาหุ้นที่สูงมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน รวมถึงหลายปัจจัย ทั้งตัวเลขเงินเฟ้อ ทิศทางนโยบาย การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ในหลายภูมิภาค
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งสะท้อนปัจจัยลบภายในประเทศ อย่างสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง ตลอดจนปัจจัยภายนอก อย่างความกังวลต่อดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะลงแรงไปมากกว่านี้ก็ค่อนข้างจำกัด หลายสถาบันคาดการณ์ว่าอาจมีแนวโน้มฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำได้
ทองคำ
หลังจากที่ราคาทองคำทำ New High ไปแล้ว และกำลังอยู่ในกรอบไซด์เวย์อยู่ ซึ่งมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงอาจเห็นราคาทองคำขยับขึ้นในช่วงต้นปีหน้า จากความต้องการทองคำในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่ เทศกาลตรุษจีน และฤดูกาลแต่งงานที่อินเดีย
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
นักวิเคราะห์หลายฝ่าย คาดการณ์ว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้ว่าจะมีการคาดการณ์แนวโน้มของตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกไปในทิศทางต่าง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่มีอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
การเรียนรู้ที่จะอยู่รอดให้ได้ในทุกสภาวะตลาด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนยืนระยะได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เพิ่งเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ที่ในช่วงนี้อาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดไว้นัก
ฉะนั้น ผู้ที่จะอยู่รอดและทำกำไรได้ น่าจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับเรียนรู้การใช้เครื่องมือที่เทรดได้ทั้งขาขึ้นขาลง และมีทางเลือกในการเทรดสินค้าได้หลากหลาย
จุดนี้เอง ที่ทำให้สัญญาฟิวเจอร์สใน TFEX จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้งในเรื่องใช้เงินลงทุนน้อย เทรดทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นขาลงพร้อมกันในหลายสินค้า หรือใช้ Lock พอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ต้องการถือยาวได้
สำหรับ นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่เต็มพอร์ต
นักลงทุนหลายคนมักจะอัดหุ้นไว้เต็มพอร์ตอยู่เสมอ เนื่องจากหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ แต่เมื่อตลาดหมีมาเยือน นักลงทุนกลุ่มนี้อาจต้องขาดทุนอย่างหนักจากราคาหุ้นที่ตกต่ำได้
สิ่งที่ทำได้ถ้าเริ่มเห็นสถานการณ์ว่าตลาดหุ้นไม่ดี ก็คือการหาเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้พอร์ต โดยอาจแบ่งเงินมา 10 - 20% เพื่อเปิดสถานะ Short SET50 Index Futures เสมือนเราทำประกันพอร์ตหุ้นไว้บางส่วน แม้ว่าจะไม่ครอบคลุมทั้งพอร์ต แต่ก็ช่วยลดความเสียหายได้
เช่น สมมตินักลงทุนมีพอร์ตหุ้นมูลค่า 500,000 บาท อาจใช้เงิน 50,000 บาท มาป้องกันความเสี่ยง โดยเปิด Short SET50 Index Futures ที่ราคา 865.0 จุด จำนวน 2 สัญญา กรณีหุ้นตก 5% พอร์ตหุ้นจะมีมูลค่าเหลือ 500,000 - 25,000 = 475,000 บาท (ขาดทุน 25,000 บาท) ขณะที่ดัชนี SET50 จะลดลงเหลือ 825 จุด (ลดลง 5% หรือ - 40 จุด) ดังนั้น พอร์ตฟิวเจอร์สจะกำไร (865 - 825) x 200 x 2 = 16,000 บาท แม้ไม่ได้ปัองกันพอร์ตทั้งหมด แต่ก็ได้ชดเชยมาบางส่วน ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
สำหรับ สายเทรดที่ชอบซื้อขายหุ้นระยะสั้น
อย่างที่รู้กันดีว่า หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของสัญญาฟิวเจอร์ส คือ Leverage นั่นจึงทำให้สัญญาฟิวเจอร์ส เป็นเครื่องมือเร่งผลตอบแทนให้กับนักลงทุนที่เน้นซื้อขายหุ้นระยะสั้น ๆ ได้อย่างน่าสนใจ อย่าง Stock Futures ซึ่งเป็นสัญญาฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับหุ้นรายตัว ที่สำคัญคือ 1 สัญญา เทียบเท่ากับการซื้อขายหุ้น 1,000 หุ้น แต่ใช้เงินวางหลักประกันเพียง 10 - 20% ของมูลค่าจริง
สมมติว่า นักลงทุนกำลังติดตามหุ้น A ที่ราคาประมาณ 15 บาทอยู่ เมื่อวิเคราะห์จากปัจจัยทางเทคนิค แล้วเจอสัญญาณการกลับตัวระยะสั้น การซื้อหุ้น A 10,000 หุ้น จะใช้เงิน 15 x 10,000 = 150,000 บาท ในขณะที่ การซื้อ A Futures จะวางเงินประมาณ 15,000 - 20,000 บาท แล้วได้หุ้น 10,000 หุ้นเหมือนกัน นี่แหละคือข้อดีของการใช้ Leverage เงินน้อยก็มีโอกาสทำกำไรได้
สำหรับ สายกระจายการลงทุน
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังนิ่ง ๆ อยู่นั้น นักลงทุนที่มีการจัดพอร์ตกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ อาจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์อื่นได้ เช่น ทองคำ โลหะเงิน ค่าเงินยูโร ค่าเงินเยน หรือค่าเงินบาท ซึ่งก็มีอยู่ในรูปแบบของสัญญาฟิวเจอร์สใน TFEX ที่วางเงินหลักประกันเพียง 10-20% ของมูลค่าที่แท้จริง
สมมุติว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า FED จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะมีผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แปลว่าค่าเงินสกุลอื่น ๆ น่าจะมีแนวโน้มแข็งค่าได้ แต่ไม่รู้จะเลือกค่าเงินสกุลไหนดี เราอาจเลือกค่าเงินที่อ่อนค่ามากที่สุดก็ได้ หรือเลือกตามการวิเคราะห์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือก็ได้ หรือแม้กระทั่งกระจายลงทุนในค่าเงินทั้ง 3 สกุลเลยก็ทำได้ เพราะใช้เงินวางหลักประกันจำนวนไม่มาก โดย 1 สัญญาของ Currency Futures วางเงินประมาณ 1,000 - 1,500 บาทเท่านั้นเอง
จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ จะเห็นได้ว่าฟิวเจอร์สประเภทต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ นอกเหนือจากการลงทุนในตลาดหุ้นแบบทั่วไป และยังตอกย้ำให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจจะยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่ก็มีโอกาสสำหรับการลงทุนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนแต่ละคนจะสามารถใช้เครื่องมือ และกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์นั้นได้อย่างไร
สุดท้ายนี้ ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนที่ดี คือการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมาย และความสามารถในการรับความเสี่ยงที่รับไหวด้วยเช่นกัน..
สำหรับนักลงทุนท่านใด ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือ TFEX
สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ : https://setga.page.link/8QB1