นักลงทุน VI เจอวิกฤต ? แก้เกมอย่างไร เมื่อ Cut Loss ไม่ได้

การลงทุนในหุ้นระยะยาว” ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักลงทุนสาย VI (Value Investor) ที่มีความเชื่อมั่นในมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตขาลง ปัญหาที่ตามมาและอาจเกิดขึ้นได้ก็คือ…

พอร์ตการลงทุนอาจติดลบหนัก และไม่สามารถที่จะขายหุ้นนั้นออกมาได้ เพราะด้วยจำนวนหุ้นที่สะสมมาอย่างยาวนานนั้นมีค่อนข้างมาก การขายหุ้นออกทั้งหมดนั้น ก็อาจยิ่งทำให้ราคาหุ้นตกลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็หมายความว่านักลงทุนก็จะยิ่งขาดทุนมากขึ้นด้วยนั่นเอง 

แต่หากนักลงทุน ยังคงเลือกที่จะขายหุ้นออกมาจริง ๆ อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเผชิญก็คือ การกลับเข้าซื้อหุ้นใหม่อีกครั้ง ที่อาจจะไม่ได้ราคาดีแบบที่เราเคยทยอยสะสมมา และแน่นอนว่า การขายหุ้นออกในช่วงวิกฤตนั้น เงินลงทุนของเราก็จะหายไปด้วย ซึ่งนั่นก็อาจทำให้เราจะต้องเก็บสะสมเงินใหม่ในการเข้าซื้อหุ้นอีก

จากความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้  คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักลงทุนสาย VI จะผ่านพ้นวิกฤตเหล่านี้ไปได้ ซึ่งบางคนก็อาจบอกว่า…งั้นเราก็ไม่ต้องขายหุ้นทิ้ง ปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวอีกปีสองปี หุ้นก็กลับมาแล้ว

ซึ่งจริง ๆ แล้ว การคิดแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การปล่อยหุ้นทิ้งไว้เฉย ๆ นั้น ก็เหมือนกับการที่เรานอนหลับไปเฉย ๆ ทิ้งเวลา และเสียโอกาส ตื่นขึ้นมาก็กลับมาสู่ที่จุดเดิม เหมือนอย่างที่คุณโจ ลูกอีสาน ได้เคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์รายการหนึ่ง

แล้ววิธีไหนที่จะช่วยแก้เกมให้กับนักลงทุนสาย VI ในช่วงวิกฤตขาลง และป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นทิ้ง ?

➡️ ปัจจุบัน เรามีเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยลดการขาดทุนในช่วงตลาดขาลงได้ และยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้อีก ซึ่งนักลงทุนก็สามารถนำผลตอบแทนที่ได้รับนั้นมาลงทุนต่อได้ ช้อนซื้อของดีในราคาถูกเหมือนอย่างที่สาย VI ถนัด ซึ่งเครื่องมือที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นก็คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือฟิวเจอร์ส ในตลาด TFEX ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุน สามารถซื้อหรือขายสัญญาที่มีมูลค่าอ้างอิงกับสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้ในทุกภาวะตลาด 

อย่างกรณีที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤตขาลง และมองว่าตลาดหุ้นจะยังคงอยู่ในช่วงขาลงไปอีกสักพัก นักลงทุนก็สามารถทำการ ⬇️ Short SET50 Index Futures หรือก็คือการเปิดสถานะขายล่วงหน้า และเมื่อดัชนีปรับตัวลงถึงจุดที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนก็สามารถปิดสถานะที่เคยขายไว้โดยการ ⬆️ Long ซึ่งในการคำนวณเงินกำไรขาดทุน ก็จะคิดจากส่วนต่างของระดับดัชนีที่ซื้อขาย แล้วมาแปลงค่าเป็นเงิน โดยใช้ตัวคูณสัญญาหรือ Multiplier (แต่ละสินทรัพย์ก็จะแตกต่างกันไป) 

สำหรับ SET50 Index Futures จะมีตัวคูณเท่ากับ 200 บาทต่อ 1 จุดดัชนี หรือพูดง่าย ๆ ว่า ทุกครั้งที่ดัชนี SET50 เปลี่ยนแปลง 1 จุด จะคิดเป็นเงินกำไรหรือขาดทุน 200 บาท ดังนั้น เมื่อนำส่วนต่างของระดับดัชนีมาคูณกับตัวคูณสัญญา (Multiplier) ตัวเลขที่ออกมาก็จะเท่ากับผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับนั่นเอง

ตัวอย่างการคำนวณ : หากปัจจุบัน ดัชนี SET50 อยู่ที่ระดับ 1000 จุด และนักลงทุนวิเคราะห์แนวโน้มตลาดว่าจะปรับตัวลดลง จึงทำการเปิดสถานะ ⬇️ Short ที่ระดับ 1000 จุด จำนวน 2 สัญญา 

ถ้าเวลาผ่านไป แล้วดัชนีปรับตัวลดลงตามที่คาด มาอยู่ที่ระดับ 970 จุด นักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ (1000-970) x 200 x 2 = 12,000 บาท

ซึ่งการทำเช่นนี้ นักลงทุนก็จะไม่เสียโอกาสในช่วงที่ตลาดหุ้นเข้าสู่ขาลง แถมการใช้ฟิวเจอร์สยังใช้เงินลงทุนน้อย คือ วางเงินหลักประกันเพียงจำนวนหนึ่ง แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นโดยตรง

อย่างไรก็ตาม การใช้ฟิวเจอร์สนั้น ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะช่วงวิกฤตขาลง เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตเท่านั้น แต่หากตลาดกำลังได้รับแรงหนุนให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็สามารถกลับสถานะมาเป็นฝั่งซื้อล่วงหน้า หรือ ⬆️ Long เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในช่วงขาขึ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

 ที่ผ่านมา คงมีนักลงทุนสาย VI จำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเครื่องมือฟิวเจอร์สนี้ มีทั้งความยาก และความเสี่ยงที่สูง…แต่จากบทความนี้ เชื่อว่านักลงทุนคงจะได้เห็นแล้วว่าแท้จริงแล้ว เพียงแค่เราวิเคราะห์แนวโน้มทิศทางได้อย่างแม่นยำ เข้าใจการทำงานของเครื่องมือนี้ และรู้หลักในการบริหารหน้าตัก ง่าย ๆ เท่านี้ ก็เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นแล้ว พร้อมกับช่วยปกป้องพอร์ตจากวิกฤตได้พร้อม ๆ กันอีกด้วย

 สำหรับนักลงทุนสาย VI ที่สนใจใช้ประโยชน์จากสัญญาฟิวเจอร์สในตลาด TFEX ก็สามารถศึกษามุมมองและแนวคิดจากต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่าอย่าง ➡ คุณโจ ลูกอีสาน ที่เขาก็ได้ใช้เครื่องมือนี้มาช่วยปกป้องพอร์ตการลงทุนเช่นเดียวกัน สามารถเข้ามารับชม “วิดีโอบทสัมภาษณ์คุณโจ ลูกอีสาน” สุดพิเศษนี้ได้แล้วที่ https://setga.page.link/nU6u