หนึ่งตัวช่วยที่สำคัญสำหรับนักลงทุนในการส่งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าไม่ว่าจะปิดสถานะทำกำไร (Take Profit) หรือปิดสถานะเพื่อจำกัดผลขาดทุน (Stop Loss) การส่งคำสั่ง Condition Order เป็นรูปแบบการส่งคำสั่ง โดยกำหนดเงื่อนไขในการซื้อขายอัตโนมัติในอนาคต ทำให้ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ตลอดเวลา และไม่เสียโอกาสในกรณีที่ราคาถึงระดับเป้าหมาย
สำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อขายอนุพันธ์ในตลาด TFEX ผ่าน Streaming ด้วยรูปแบบคำสั่ง Condition Order มีให้เลือกใช้ 2 แบบคือ Stop Order และ Bracket Order
Stop Order
คือการส่งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าแบบมีเงื่อนไขเพียงฝั่งเดียว มักใช้ในกรณีที่ต้องการปิดสถานะเพื่อจำกัดผลขาดทุน (Stop Loss) หากราคาไม่เป็นไปตามที่คาด หรือใช้ในกรณีที่ต้องการเปิดสถานะเพื่อไล่ราคาตาม เมื่อราคาผ่านแนวรับหรือแนวต้าน โดยผู้ลงทุนสามารถกำหนดราคาเงื่อนไข (Trigger Price) โดยเทียบกับราคาตลาด ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งช่วงราคาขาขึ้น หรือราคาขาลง เมื่อราคาตลาดขยับไปถึงเงื่อนไขที่ตั้ง จะส่งคำสั่งซื้อขายตามที่ได้ตั้งล่วงหน้าไว้
การส่งคำสั่ง Stop Order ผู้ลงทุนจะต้องกำหนดเงื่อนไขดังนี้
ตัวอย่าง
ถ้ามีสถานะ Long S50Z23 จำนวน 5 สัญญา ที่ 1,000 จุดโดยต้องการ Stop Loss ทันทีหากดัชนีลงมาที่ 990 จุด
ให้ตั้ง Short Close S50Z23 จำนวน 5 สัญญา โดยช่องราคาใช้คำสั่ง MP แล้วกำหนดเงื่อนไข Condition เป็น Last <= 990 จุด เลือกระยะเวลาของเงื่อนไขซึ่งสามารถตั้งได้จนถึงวันที่สัญญาหมดอายุ 28/12/23 และระบุวันที่คำสั่งหมดอายุเป็น Day
เนื่องจากคำสั่ง MP เป็นคำสั่งจับคู่ซื้อขายทันทีที่ราคาดีที่สุดในช่วงขณะนั้น (Best Bid - Best Offer) ทำให้เมื่อราคาลงมาต่ำกว่าเงื่อนไขที่ 990 จุด จะส่งคำสั่ง Short Close ปิดสถานะที่ราคาตลาดทันที หากช่วงนั้นมี Bid อยู่ที่ 990 จุด จำนวน 3 สัญญา Bid ถัดมาอยู่ที่ 989.8 จุด จำนวน 5 สัญญา จะปิดสถานะที่ราคา 990 จุด จำนวน 3 สัญญา และที่ราคา 989.8 จุด จำนวนที่เหลืออีก 2 สัญญา
** การใช้คำสั่ง MP ให้มีประสิทธิภาพควรต้องดูเรื่องสภาพคล่องของสินค้าที่ซื้อขายประกอบด้วย หากสภาพคล่องน้อย การจับคู่อาจได้ราคาที่สูงหรือต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป ซึ่งสามารถเลือกใช้คำสั่ง Limit แทนคำสั่ง MP ได้ โดยระบุราคาให้ต่ำกว่าเงื่อนไขเล็กน้อยกรณีเป็นการ Short Close หรือระบุราคาให้สูงกว่าเงื่อนไขเล็กน้อยกรณีเป็นการ Long Close ซึ่งระบบจะจับคู่ซื้อขายตามเกณฑ์ราคาที่ดีที่สุดให้หากราคาขณะนั้นดีกว่าราคาที่ตั้ง
Bracket Order
คือการส่งคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าแบบตั้งเงื่อนไขทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งขาขึ้นและขาลง มักใช้ในกรณีที่ต้องการกำหนดราคาปิดสถานะเพื่อจำกัดผลขาดทุน (Stop Loss) พร้อมกับกำหนดราคาเป้าหมายทำกำไร (Take Profit) ไว้ในคำสั่งเดียวกัน หรือใช้ในกรณีที่ต้องการเปิดสถานะเพื่อไล่ราคาตามแนวรับและแนวต้าน โดยผู้ลงทุนสามารถกำหนดเงื่อนไขในครั้งเดียวเพื่อปิดสถานะเมื่อราคาขึ้นสูงกว่าเงื่อนไขกรอบบนที่กำหนดไว้ (Upper Price) พร้อมปิดสถานะเมื่อราคาต่ำกว่าเงื่อนไขกรอบล่างที่กำหนดไว้ (Lower Price)
การส่งคำสั่ง Bracket Order ผู้ลงทุนจะต้องกำหนดเงื่อนไขดังนี้
ตัวอย่าง
ถ้ามีสถานะ Long S50Z23 จำนวน 5 สัญญา ที่ 1,000 จุด โดยมองจุดทำกำไรที่ 1,030 จุด และต้องการ Stop Loss ทันทีหากดัชนีลงมาที่ 990 จุด
ให้ตั้ง Short Close S50Z23 จำนวน 5 สัญญา โดยใช้คำสั่ง MP แล้วกำหนดเงื่อนไข Upper Price เป็น 1,030 จุด และกำหนดเงื่อนไข Lower Price เป็น 990 จุด เลือกระยะเวลาของเงื่อนไขซึ่งสามารถตั้งได้จนถึงวันที่สัญญาหมดอายุ 28/12/23 และระบุวันที่คำสั่งหมดอายุเป็น Day
เนื่องจากคำสั่ง MP เป็นคำสั่งจับคู่ซื้อขายทันทีที่ราคาดีที่สุดในช่วงขณะนั้น (Best Bid - Best Offer) ทำให้เมื่อราคาขึ้นไปสูงกว่าเงื่อนไขที่ 1,030 จุด หรือหากราคาลงมาต่ำกว่าเงื่อนไขที่ 990 จุด จะส่งคำสั่ง Short Close ปิดสถานะที่ราคาตลาดทันที หากช่วงนั้นมี Bid อยู่ที่ 990 จุด จำนวน 3 สัญญา Bid ถัดมาอยู่ที่ 989.8 จุด จำนวน 5 สัญญา จะปิดสถานะที่ราคา 990 จุด จำนวน 3 สัญญา และที่ราคา 989.8 จุด จำนวนที่เหลืออีก 2 สัญญา
** การใช้คำสั่ง MP ให้มีประสิทธิภาพควรต้องดูเรื่องสภาพคล่องของสินค้าที่ซื้อขายประกอบด้วย หากสภาพคล่องน้อย การจับคู่อาจได้ราคาที่สูงหรือต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไป